icon benefits milk ประโยชน์ของกะทิ

อ้างอิงจากหนังสือเรื่อง FOOD FOR THE BRAIN โดยศาสตรจารย์ชิราซาว่า PHD แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการชะลอวัย ISBN 978-967-14205-0-8

 

ประโยชน์ของการบริโภคกะทิ จะคล้ายคลึงกับน้ำมันมะพร้าว.

 

กรดลอริก เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของกะทิ ที่ซึ่งจะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารต้านไวรัสและเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในร่างกายที่เรียกว่า โมโนลอริน สิ่งนี้จะช่วยทำลายสิ่งมีชีวิตที่ก่อให้เกิดโรคได้หลากหลาย จึงเชื่อกันว่าการบริโภคกะทิอาจช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อและไวรัสได้.

 

อีกทั้งกะทิไม่มีแลคโตส ดังนั้นจึงใช้แทนนมวัวได้ดีสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้แลคโตส
มีคุณค่าทางโภชนาการสูงตามธรรมชาติ อุดมไปด้วยไฟเบอร์, วิตามิน C, E, B1, B3, B5 และ B6
และแร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก, ซีลีเนียม, โซเดียม, แคลเซียม, แมกนีเซียม และฟอสฟอรัส.

 

 

chap1-1

ในส่วนหนึ่งของผลงานวิจัยเกี่ยวกับกะทิในญี่ปุ่น ศาสตรจารย์ชิราซาว่าได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับผลของกะทิที่มีต่อระดับคีโตนในร่างกาย การศึกษานี้รวบรวมอาสาสมัคร 12 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ด้วยการวัดระดับคีโตนของทุกคนในขณะท้องว่าง.

อาสาสมัครกลุ่มแรก มี 6 คน ทุกคนทานสมูทตี้แครอทปั่นกับกะทิ ในขณะที่อีก 6 คน ทานซุปหอยนางรมที่ปรุงด้วยกะทิ.

ทั้งสองสูตรมีกะทิจำนวน 66 กรัมเท่ากัน ซึ่งจะถูกแปลงเป็นกรดไขมันสายโซ่ขนาดกลาง (MCFAs) 10 กรัม หลังจากผ่านไป 3 ชั่วโมงแล้วจึงทำการวัดระดับคีโตนอีกครั้ง ดังรูปที่ 3 ด้านซ้าย คือ สมูทตี้แครอท ส่วนด้านขวาเป็นซุปหอยนางรม คอลัมน์สีส้ม แสดงถึงระดับของคีโตนในขณะที่ท้องว่าง คอลัมน์สีเขียว คือระดับ 3 ชั่วโมงหลังการบริโภคกะทิ ในทั้งสองกลุ่มผลสามารถยืนยันได้ว่าระดับคีโตนจะเพิ่มขึ้นหลังจากทานกะทิ.

chap1-2

ในการทดสอบเพิ่มเติม ได้ทำการเปรียบเทียบการดื่มกาแฟกับน้ำมันมะพร้าว กับกาแฟที่มีกะทิ ในเครื่องดื่มทั้งสองมีปริมาณกาแฟที่เท่ากัน โดยในกาแฟหนึ่งถ้วยถูกเติมด้วยกะทิ 2 ช้อนโต๊ะ (มีกรดไขมันสายโซ่ขนาดกลาง 30 กรัม ต่อ 5 กรัม) และอีกอย่างถ้วยถูกเติมด้วยน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ (มีกรดไขมันสายโซ่ขนาดกลาง 15 กรัม ต่อ 10 กรัม).

ที่ระดับน้ำตาลในเลือดเท่ากันที่ 0.2 มิลลิโมลต่อลิตร หลังจากดื่มกาแฟไป 4 ชั่วโมง ระดับคีโตนเพิ่มขึ้นเป็น 0.4 มิลลิโมลต่อลิตรในกาแฟผสมกะทิ และเพิ่มขึ้นเป็น 0.3 มิลลิโมลต่อลิตร ในกาแฟผสมน้ำมันมะพร้าว.

การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่ากะทิมีประสิทธิภาพมากกว่าน้ำมันมะพร้าวในการเพิ่มระดับปริมาณคีโตน.

 

ข้อหนึ่งข้อดีของกะทิเหนือน้ำมันมะพร้าว คือ การนับค่าพลังงานแคลอรี่
น้ำมันมะพร้าว 100 กรัม ให้พลังงาน 900 กิโลแคลอรี ในขณะที่กะทิ 100 กรัมให้พลังงานเพียง 245 กิโลแคลอรี
อย่างที่คุณเห็นกะทิจะให้ผลที่ดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว.

 


"All above text are direct quotes from Prof. Shirasawa book and they are presented here for information about the latest findings about coconut benefits. These information can not be seen as a recommendation to modify or alter a medical treatment. Like any other good food ingredient, coconut can bring benefits only within a proper balanced diet and regular physical exercises."

Reference: FOOD FOR THE BRAIN - PROF. SHIRASAWA’S READINGS

icon MCT แหล่งของ MCFA (MCT) ที่ดีที่สุดจากธรรมชาติ

อ้างอิงจากหนังสือเรื่อง FOOD FOR THE BRAIN โดยศาสตรจารย์ชิราซาว่า PHD แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการชะลอวัย ISBN 978-967-14205-0-8

สิ่งสำคัญที่ควรรู้ คือไขมันจากมะพร้าวส่วนใหญ่ เป็นกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (MCFAs) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ไตรกลีเซอไรด์สายโซ่ขนาดกลาง (MCTs) MCFAs มีความโดดเด่นในเรื่องของการย่อยได้ง่าย และสามารถละลายน้ำได้ดี.

MCFAs ใช้ในการผลิตพลังงาน ลดการสร้างไขมันในร่างกาย และลดโรคหลอดเลือดแดง.

 

chart01 เพื่อให้เข้าใจว่าเหตุใดไขมันจากมะพร้าวจึงโดดเด่น และน่ามหัศจรรย์นั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงคุณสมบัติ และวิธีที่ร่างกายตอบสนองต่อมัน.

ไขมันและน้ำมันทั้งหมด ประกอบด้วยโมเลกุลของไขมัน ที่เรียกว่ากรดไขมัน ซึ่งจำแนกได้เป็น 2 แบบ แบบแรกขึ้นอยู่กับระดับความอิ่มตัว แยกได้เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน.

อีกแบบคือการจำแนกโดยขึ้นอยู่กับขนาดโมเลกุล หรือความยาวของห่วงโซ่คาร์บอนภายในกรดไขมัน ได้แก่ กรดไขมันสายสั้น (SCFAs), กรดไขมันสายโซ่ขนาดกลาง (MCFAs) และกรดไขมันสายยาว (LCFAs) เมื่อกรดไขมันทั้งสามรวมกัน ด้วยโมเลกุลไกลคอล จะได้เป็นไตรกลีเซอไรด์ ดังนั้นจึงยังสามารถได้เป็น ไตรกลีเซอไรด์สายสั้น (SCTs), ไตรกลีเซอไรด์สายโซ่กลาง (MCTs) และไตรกลีเซอไรด์สายโซ่ยาว (LCTs) บางครั้งคนเราใช้คำว่ากรดไขมันและไตรกลีเซอไรด์แทนกันได้.

 

สิ่งสำคัญที่ควรรู้ คือไขมันจากมะพร้าวส่วนใหญ่ เป็นกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (MCFAs) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ไตรกลีเซอไรด์สายโซ่ขนาดกลาง (MCTs) MCFAs มีความโดดเด่นในเรื่องของการย่อยได้ง่าย และสามารถละลายน้ำได้ดี.

 

เมื่อเปรียบเทียบกับไขมันชนิดอื่นๆในมื้ออาหารของเรา เช่น น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันคาโนลา, น้ำมันมะกอก และไขมันจากไก่ ซึ่งประกอบด้วย LCFAs ทั้งหมด ไขมันที่คุณรับประทานในแต่ละวัน 98 ถึง 100% ประกอบด้วย LCFAs ไขมันประเภทนี้ต้องการเอนไซม์จากตับอ่อนและน้ำดีในการย่อยอาหาร ในขณะที่ MCFAs ในไขมันจากมะพร้าว สามารถให้พลังงานที่ง่ายและรวดเร็ว โดยไม่ต้องถูกกระตุ้นด้วยระบบเอนไซม์ของร่างกาย.

เมื่อเปรียบเทียบกับไขมันชนิดอื่นๆในมื้ออาหารของเรา เช่น น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันคาโนลา, น้ำมันมะกอก และไขมันจากไก่ ซึ่งประกอบด้วย LCFAs ทั้งหมด ไขมันที่คุณรับประทานในแต่ละวัน 98 ถึง 100% ประกอบด้วย LCFAs ไขมันประเภทนี้ต้องการเอนไซม์จากตับอ่อนและน้ำดีในการย่อยอาหาร ในขณะที่ MCFAs ในไขมันจากมะพร้าว สามารถให้พลังงานที่ง่ายและรวดเร็ว โดยไม่ต้องถูกกระตุ้นด้วยระบบเอนไซม์ของร่างกาย.

ในทางกลับกัน MCFAs จะถูกขนส่งผ่านผนังลำไส้และเข้าสู่หลอดเลือดดำ และถูกส่งไปยังตับโดยตรง ในตับ MCFAs ถูกใช้ในการผลิตพลังงานในรูปของคีโตนบอดี้ ดังนั้น MCFAs จะข้ามขั้นตอนของไลโปโปรตีนในผนังลำไส้และในตับ พวกมันจะไม่ไหลเวียนในกระแสเลือดในระดับเดียวกับที่ไขมันอื่นๆทำ มันจะถูกใช้ผลิตพลังงาน ลดการสร้างไขมันในร่างกาย และลดโรคหลอดเลือดแดง.

MCFAs ถูกเผาผลาญเป็นพลังงานในตับอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนไขมันอิ่มตัวทั่วไป ทางลัดที่ MCFAs ใช้ผ่านระบบย่อยอาหารของเรา หมายความรวมถึงความสามารถในการต่อสู้กับโรคต่างๆได้โดยเฉพาะภาวะอักเสบ.

 

 


ไขมันที่ดีสำหรับการทำอาหาร

chart01 chart02 chart03

Reference: FOOD FOR THE BRAIN - PROF. SHIRASAWA’S READINGS